Sunday, November 11, 2018

ทริปที่ 2 ไปวัดเศวตฉัตรวรวิหาร ตอนที่ 1

วันพุธที่ 24 ต.ค. 61

ช่วงอาทิตย์นี้ ฝนตกหนักเป็นฟ้ารั่วทุกวัน ตกโดยไม่รู้เวลาแน่นอน ไม่มีปี่มีขลุ่ย  วันนี้ช่วงเช้าเป็นวันแรกที่เห็นแสงตะวันเหลืองอร่าม ก็เลยรีบเรียกเจ้าสองหลานแสบไปเที่ยว เพราะเจ้าลิงบ่นอุบเบื่อไม่มีอะไรทำ ได้นั่งดูฟ้ามืดครึมบ้างดูฝนตกหนักบ้าง
ปู่ : เด็ก ๆ เช้านี้แดดออกเว้ย ไปเที่ยวกันดีไหม หรือไม่ไปดีกว่าหว่า
หลาน : เย้ ปู่ครับ เราเบื่อเหลือเกิน ไปเลยครับ
ปู่ : ฝนตกกันตลอดมาเกือบอาทิตย์ วันนี้ฟ้าโปร่งขึ้น ฝนไม่มี มีแดด เรารีบไปกันเถอะ ไม่รู้จะมีฝนตกตอนไหน  วันนี้ พวกเราเดินไกลนิดหนึ่งนะ
หลาน : ได้ครับ เมื่อยนักก็ ขี่คอปูนะครับ
ปู่ : เฮ้ย โตกันแล้ว ไม่ให้ขี่คอ เดียวคอหักพอดี โตแล้วหัดอดทนหลานเอย

ปู่กับสองหลานก็ออกจากบ้านแล้วเดินไปตามถนนเจริญนครหันหน้าไปทางสะพานตากสินมหาราช  เดินไปเรื่อย ๆ เห็นอาคารก่อสร้างสไตล์ศาลเจ้าจีน เป็นลานกว้าง ๆ มีที่จอดรถหน้าศาลเจ้าสีสรรสวยงาม  เจ้าลิงเห็นเข้าเกิดสงสัยใคร่รู้ถามทันทีตามประชาเด็ก
หลาน :  ปู่ที่นี่เป็นอะไรครับ เราอยากเข้าไปดู เราเข้าไปดูได้ไหม?
ปู่ : น่าจะได้ เราลองเดินเข้าไปถามดูกัน


ทั้งคณะเดินเข้าประตูใหญ่ของสมาคมตระกูลลิ้มแห่งประเทศไทยได้หน่อยเดียว ก็เจอแขกยามเป็นแขกยามอินเดียจริง ๆ เป็นแขกยามตามบริษัทสมัยก่อนจ้างมาเฝ้ายาม หัวโกนล้านเลี่ยน หน้าผากเจิมแต้มสีแดง เสื้อสีขาว นุ่งโสร่งขาวที่แขกใส่กัน  สมัยนี้หาดูยากแล้ว ไม่น่าเชื่อ
ปู่ : ขอเข้าไปเยี่ยมชมได้ไหมครับ
แขกยาม :  อีนี้ นายจ้า เชิญเข้าเยี่ยมชมได้เลย ไม่ห้ามจ้า นายจ้า
ปู่หลานก็เดินเข้าไปที่ศาลเจ้า
ปู่ : ที่นี่่เป็น สมาคมตระกูลลิ้มแห่งประเทศไทย  แล้วข้างหน้ามีศาลสำหรับกราบไหว้บรรพบุรุษของตระกูลลิ้ม และมีเจ้าแม่ด้วย

อาคารนี้ด้านหน้า มีประตูใหญ่ตรงกลาง และประตูเล็กลองลงมา 2 ข้าง  ยังมีสิงโตคู่ 2 ข้าง
หลาน :  ปู่ ตรงประตูใหญ่มีรูปนักรบจีนโบราณใช่ไหมครับ
ปู่ :  ใช่ อึมตาดีนี่ ที่ประตูใหญ่มีนักรบจีนอยู่ ที่คนไทยเรียก นายทวารบาล แปลว่า ผู้ดูแลประตู ของไทยเราก็เป็นยักษ์ เป็นทหาร จีนเป็นนักรบสองคนนี้  อยากรู้ประวัติความเป็นมาไหมละ 
หลาน : อยากซิครับถามได้ อุตส่าห์พูดเปิดทางมาขนาดนี้ อิอิ
ปู่ : ทะลึ่ง เดียวไม่เล่าให้ฟังหรอก 
หลาน : แหม ไม่แซวปู่จะให้ไปแซวใครที่ไหน ปู่เล่าเลย
ปู่ : ทางจีนเรียก เซี่ยวกาง แปลว่า ยืนยาม แต่ก่อนนานมาแล้ว ทวารบาลจีนเป็นเจ้าแห่งผีที่เชื่อว่าป้องกันภูตผีปีศาจไม่ให้ล่วงล้ำเข้าไป  ต่อมา นิยมวาดรูปแม่ทัพใหญ่ ชื่อ อวยซีจงและซินซกโป๊ แทน  เรื่องเล่ามีอยู่ว่า ในสมัยราชวงศ์ถัง พระเจ้าไท่จง (หลีซีบิ๋น) ทรงพระประชวร แล้วทอดพระเนตรเห็นแต่ปีศาจเป็นเนืองนิจ จึงให้นายทหารเอกชั้นผู้ใหญ่ทั้งสองยืนเฝ้าหน้าห้องบรรทม เมื่อนานเข้า ทรงเห็นว่าไม่เหมาะสมจึงให้วาดรูปท่านทั้งสองที่ประตูแทน เลยเป็นประเพณีนิยมวาดรูปทั้งสองท่านที่ประตูวัดและศาลเจ้า  ที่จริงทวารบาลจีนมี 3 ประเภท คือ ทวารบาลฝ่ายบู๊ ก็คือ สองเทพนักรบที่เล่าให้ฟัง  แล้วมีทวารบาลฝ่ายบุ๋น พูดง่าย ๆ ก็ฝ่ายขุนนางวิชาการ   และทวารบาลเพื่อขอพร  ส่วนทวารบาลฝ่ายบุ๋น ปู่ไม่รู้  ส่วนสิงห์คู่ ก็ไว้ขับไล่สิ่งชั่วร้าย ทำให้ร่มเย็น เพิ่มพลังอำนาจ
หลาน : แล้วสิงห์มีเกร็ดความรู้ไหมครับ
ปู่ : จะเล่าให้ฟังต่อก็ได้ สิงห์ที่อยู่ตำแหน่งเสือขาว (หันหน้าออกด้านขวามือ) เป็นเพศเมีย หลานเห็นไหมว่าเหยียบลูกสิงห์  ส่วนสิงห์ที่อยู่ตำแหน่งมังกรเขียว (หันหน้าออกทางซ้ายมือ) เหยียบลูกบอลเป็นเพศผู้




           

หลาน : อ้อครับ ปู่เราเข้าไปข้างในกัน ประตูใหญ่ทั้ง 3 บานไม่เปิด เราเข้าทางประตูเล็กด้านข้างกันดีได้ไหมครับ
ปู่ : ได้ซิ เห็นประตูเป็นวงโค้งไหม เข้าทางนั้นแหละ ประตูอาคารสมัยก่อนนิยมเป็นวงโค้งนะ

ทั้ง 3 คนเดินเข้าไป ทางซ้ายมือก็เห็นโต๊ะบูชา 3 แท่น
หลาน :  ปู่นั้นแท่นบูชา สำหรับเจ้าใช่ไหมครับ
ปู่ : อ้อ แท่นบูชาทั้งสามใช้สำหรับไหว้บรรพบุรุษต้นตระกูล เช่น ท่านปีกังกงเป็นบิดาของท่านเกียงกง, ท่านเกียงกง ซึ่งเป็นต้นตระกูลลิ้มที่เมืองจีน  และท่านอื่น ๆ   ปู่เข้าใจว่าในศาลเจ้านี้ยังมีเจ้าแม่เทียงโหวโจวโกว อันนี้ปู่ไม่แน่ใจ ไม่รู้จะถามใครดี ไม่ใครมาสอบถามนะ
แต่อย่างไรเขาไม่ได้เปิดให้ดู ก็ดูลวดลายฉากปิดทอง สวยงามก็แล้วกัน ดูสถาปัตยกรรมจีนที่สวยงามไปทั่ว ๆ กันเถอะ
หลาน : ครับปุ่ สวยดีนะ










ปู่ : เป็นไหงบ้างพาดูทั่วแล้ว สวยดีไหม 
หลาน : สวยจัง ครับ
ปู่ :  หลานรู้หรือเปล่า  การกราบไหว้บรรพบุรุษ การกตัญญูต่อบรรพบุรุษเป็นวัฒนธรรมอันดีงามของคนเชื้อสายจีนทุกคน  เพราะฉะนั้น จึงพบเห็นศาลเจ้าไหว้บรรพบุรุษทั่วไป ตามบ้านก็จะมีการไหว้พ่อแม่บรรพบุรุษ   แต่รู้ไหมที่แผ่นดินใหญ่จีนเดี่ยวนี้ไม่มีประเพณีไหว้บรรพบุรุษอีกต่อไป นับแต่คอมมิวนิสต์ปกครองแล้วมีการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ ทำให้คนจีนรุ่นหลังที่เกิดมาไม่มีการไหว้อีกแล้ว น่าเสียดายวัฒนธรรมการเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่หายไป ซึ่งมีมาแต่หลายพันปี นี่รวมถึงประเพณีอื่น ๆ อีกมากมาย
หลาน : ไม่น่าเชื่อเลยนะครับ
ปู่ : อึม มีเหลือประเพณีนี้แต่คนจีนโพ้นทะเลนอกแผ่นดินใหญ่จีน  น่าเสียดาย  ไป ไป เราเดินออกไปเดินต่อไปวัดเศวตฉัตรวรวิหารกันเถอะ
หลาน : ครับ 








ปล. มีรูปสวยอีกหลายรูป แต่พยายามคัดเอาที่เกี่ยวข้องมาลง

No comments:

Post a Comment