ปู่และสองหลานก็ออกจากตระกูลลิ้มหันเดินไปทางซ้ายตามถนนเจริญนครต่อ วันนี้มีแดดเป็นวันแรกหลังจากฝนตกหนักมาเกือบอาทิตย์ทำให้อยู่แต่ในบ้าน นั่งแล้วนอน นอนแล้วนั่ง จนจะขึ้นอืด
ปู่ : เราเดินกันไปเรื่อยๆ นะหลานเอย
หลาน[ทำตาน่าสงสาร] : ปู่ไม่สงสารพวกเราสองคน เหรอ ปล่อยให้เดินอีกตั้งไกล
ปู่ : อย่ามาลูกเล่น เรามาได้ไม่ไกลเท่าไร เป็นเด็กเป็นเล็กหัดอดทน ไป ไป เดินต่อ แล้วบ่นทำไมว่าเบื่ออยู่บ้านติดฝนหลายวัน
หลานทำหน้าแหยแลบลิ้น ปู่เลยถวายมะเหงกคนละที แล้วพาเดินต่อ
พอเดินกันไปได้อีกสักพักประมาณ 1 ซอย ปู่เห็นร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ด ก็รีบบอกหลาน
ปู่ : นี่ ร้านนี้ขายก๋วยเตี๋ยวเป็ด อร่อยใช้ได้เลยนะ แต่นี่ยังเช้าอยู่แล้วเราก็กินข้าวเช้ามาแล้ว ไว้วันหลังปู่พามากินนะ
หลาน : หยี ไม่เห็นน่ากินเลย ร้านเก่า ๆ คนขายก็เป็นหญิงแก่แต่งตัวไม่ดี คนช่วยก็ดูซกม๊ก
ปู่ : แต่อร่อยใช้ได้เลยนะเอ็ง โดยเฉพาะไส้แก้ว อร่อย อย่ามาเป็นเด็กอนามัยเลย ร้านนี้มีหนังสือพิมพ์ยี่ห้ออะไรจำไม่ได้ชวนชิมนะเว้ย
ว่าแล้วปู่ก็พาเดินต่อไป สักพักประมาณ 5-10 นาที มาถึงซอยเจริญนคร 36 ก็ถึงร้านอาหารมังสะวิรัตชื่อ สุธัญทิพย์ เลยปั๊มน้ำมันเซลล์ไปหน่อยเดียว ร้าน 3 คูหา เป็นร้านสะอาดใหญ่ เป็นห้องกระจกแอร์ ปู่เลยแนะนำ
ปู่ : ร้านนี้เป็นร้านอาหารมังสะวิรัต มีคนมากินอาหารกันมาก ตอนเย็น ๆ ปู่ผ่านมาทีไร เห็นคนตรึมทุกครั้ง แต่ตอนนี้ยังเช้าอยู่เลยยังไม่เปิดร้าน ไว้วันหลัง ปู่จะพามากิน รับรองพวกแก่เด็กสมัยใหม่ที่ไม่ค่อยชอบกินผัก รับรองพวกแก่เปลี่ยนใจแน่
หลาน [ทำหน้าหยี เปลี่ยนเรื่อง รีบเดินต่อ] : ปู่ เราไปต่อเถอะ เดียวร้อนอะ
ปู่คิดในใจ 'เจ้าสองลิงนี่มันร้ายจิง'
ทั้ง 3 คน เดินกันมาถึงปากซอยเจริญนคร 34/2เห็นเสาประตูสไตล์โรมันใหญ่ ปากซอยมีป้าย "ง่วนหลี" ให้เห็นชัด พอมองเข้าไป ก็จะเห็นภัตตาคารง่วนหลี เป็นภัตตาคารอาหารจีน ที่อร่อยอีกร้านหนึ่ง
ปู่ : นี่ นี่ หลาน ซอยนี้มีภัตตาคารอาหารจีน ที่อร่อยนะ รับรองว่าได้กินจะติดใจ แล้วจะพามากิน
หลาน : เอาอีกแล้ว วันหลัง แล้วก็วันหลัง เมื่อไรละครับคุณปู่
ปู่ : วันหลังพามาแน่ มีอาหารหลากหลายชนิดอร่อยมาก แต่ปู่ชอบสั่งหน่อไม้จีน นุ่มอร่อยมาก ชักน้ำลายไหลแล้ว แต่ยังเช้าอยู่ร้านยังไม่เปิด เขาเปิดบ่าย หลานรู้หรือเปล่า ร้านนี้แยกตัวมาจาก ร้านง่วนหลี ที่อยู่ซอยหลังสวน เป็นร้านมีชื่อเสียงดังมาก แต่หลังจากหมดสัญญาเช่าที่นั้นเลยปิดตัวลง ร้านง่วนหลีเจริญนคร เลยแยกออกมาเปิดที่นี่ มีลูกค้าเจ้าประจำที่เคยกินร้านนี้ได้ข่าวก็มากินกัน
หลาน : ปู่เล่าทำไม ไม่เห็นอยากรู้เลยครับ
ปู่ : อ้าว พวกเอ็งจะได้รู้ว่าอร่อยขนาดไหนไหง แหม
ถนนเจริญนครนี้ ตลอดเส้นทางมีร้านอาหารอร่อยหลายร้านมาก อีกทั้งยังมีร้านขายอาหารกันตั้งแต่เช้ายันดึกดื่นเที่ยงคืน มีหลากหลายชนิด มีทั้งอาหารไทย จีน อินเดีย ฝรั่ง เวียตนาม ญี่ปุ่น บริเวณที่เปิดร้านหนาแน่นที่สุดอยู่แถวคลองต้นไทร
ปู่พาเดินมาถึงโค้งที่มีร้านซ้งโภชนาอันโด่งดังย่านฝั่งธนฯ แต่ตอนนี้หมดสัญญาเช่า เลยย้ายไปเปิดแถวกัลปพฤกษ์และพุทธมณฑลสาย 2 แล้วก็พาเดินเลยไปอีกซอยที่อยู่ใกล้ ๆ ก็มาถึงซอยเจริญนคร 30/1 มองเข้าไปในซอยไม่กี่คูหาก็จะเห็นร้านตั้งทวีกิจโภชนา ปู่จอมตะกละรีบคุยต่อ
ปู่ : หลานจำกุยช่ายที่ปู่ซื้อให้กินหรือเปล่า?
หลาน : ได้ซิครับ อร่อยมาก ผมยังจำได้ กุยช่ายไส้เผือกหอมอร่อยมาก กินแล้วนุ่มหอมเผือกติดปากเลย ไม่เหมือนที่อื่นที่ไม่หอมแล้วยังแห้ง ๆ น้ำจิ้มอร่อยด้วยครับ
ปู่ : นี่ร้านที่ปู่ซื้อให้กิน ก็ชื่อร้านตั้งทวีกิจโภชนา อยู่ในซอยนี้ เห็นป้ายนั้นไหม
หลาน : อ้อ อยู่ซอยนี้เอง กุยช่ายอร่อยม๊ากมาก
ปู่ : เขามีกุยช่ายหลายไส้มาก ก็มีไส้กุยช่าย หน่อไม้ มันแกว เผือก แต่เผือกรับรองได้ว่าอร่อยกว่าร้านไหน ๆ ที่พวกแก่เคยกิน
หลาน : ใครเขาเถียงปู่ละ
ปู่ : เขายังมีทำอาหารหลายอย่าง แต่ที่แปลกก็คือ ผัดสามเหม็น อยากรู้ต้องมาชิม ก็พอใช้ได้แต่กินเอาแปลก ๆ นะ
หลานทำหน้าหยีทันที
ปู่ : พวกเอ็งมองไปฝั่งตรงข้ามเยื้องขึ้นไปเล็กน้อย รู้สึกว่าจะเป็นซอยเจริญนคร 31 เห็นร้านจารุวรรณข้าวมันไก่ไหม ร้านนี้ขายอาหารหลายอย่างทั้งก๋วยเตี๋ยวและข้าว แต่ที่คนสั่งกินกันมากก็เป็นข้าวมันไก่ ปู่ผ่านมาทีไรเห็นคนเข้าคิวซื้อห่อกลับบ้านเป็นแถวนะ
หลาน : ปู่จะบอกทำไม ถ้าไม่พาไปกิน
ปู่ : อ้าวก็เรากินข้าวเช้ากันแล้วเนี่ย ปู่ให้รู้ไว้เผื่อวันหลังผ่านมาจะได้แวะกินไหง
ปู่ : เอาละ ไป ไป เดินต่ออีกสักพักก็ถึงแล้ว ไป เดิน เดิน
พวกหลานเริ่มเดินป๊อแป๋ เพราะอาจไกลไปนิดนึกของเด็ก
และแล้ว ทั้งสามก็มาถึงวัดเศวตฉัตรวรวิหาร
ปู่ : อ้าวหลาน พวกเรามาถึงแล้ว นั้นไหงวัดเศวตฉัตรวรวิหาร
หลาน : เฮ้อ ถึงเสียที แต่ปุ่ทำไมสายดำ ๆ อะไรเยอะแยะไปหมด ขวางสายตาอย่างไรก็ไม่รู้ ดูน่ารำคาญจังครับ
ปู่ : อ้อ พวกสายไฟ สายโทรศัพท์ สายใยแก้ว สายอะไรต่อมิอะไร รกอย่างหลานว่า เมืองนอกเขาเอาลงท่อใต้ดินหมด เมืองไทยก็มีบางพื้นที่ในบางจังหวัดเอาสายทั้งหลายลงใต้ดินแล้ว
หลาน : อึม ทำไมไม่ทำทุกที่เลยอะครับ
ปู่ : ก็นั้นนะซิ ปู่ไม่รู้เหมือนกัน ทำไมรัฐบาลไม่ทำกัน
ปู่ก็เปลี่ยนเรื่องมาเรื่องวัดต่อ
ปู่ : ก่อนเราข้ามถนนเจริญนครไปวัด เราแวะไหว้หลวงพ่อโบสถ์บนกันก่อนทั้งสามคนก็เดินเข้าไปในพระอุโสถหลวงพ่อโบสถ์บน เข้าไปในประตูใหญ่นอกโบสถ์เห็นสิงโตจีนพร้อมป้ายบอก
ปู่ : ไปเราเข้าไปไหว้พระก่อน แต่อย่าลืมต้องถอดรองเท้าก่อนนะหลานเอย
ปู่ก็พาหลานทั้งสองเข้าไปในโบสถ์ แล้วเล่าประวัติให้หลานฟัง
ปู่ : พระอุโบสถเก่าหลังนี้เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนรูปทรงแบบสมัยอยุธยา เป็นพระอุโบสถขนาดเล็กหลังคาลด 2 ชั้น มุงกระเบื้อง ประดับช่อฟ้า ใบระกา มีเพิง (พาไล) ยื่นออกมาด้านหน้า หน้าบันเจาะเป็นซุ้มจระนำประดิษฐานพระพุทธรูปยืนรวม 3 ช่อง
ปู่ : องค์พระงามไหมหลาน?
หลาน : งามครับ ว่าแต่คำว่า 'ทับเกษตร' คืออะไร ปู่บอกไอ้คำที่เข้าใจง่ายหน่อยซิ
ปู่ : ทับเกษตร คือ ส่วนบนของฐานที่รองรับพระพุทธรูปปางประทับนั่ง ปู่ลืมไป หลานรู้หรือเปล่า คนฝั่งธนฯที่อยู่แถบนี้ นับถือหลวงพ่อท่านมาก ปู่เวลานั่งรถเมล์ปู่เห็นคนในรถเมล์ยกมือไหว้อยู่บ่อย ๆ ไปเราไปดูวัดฝั่งโน้น
แล้วก็เดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามเข้าเขตวัด
ปู่ : ข้ามถนน ระวังนะหลาน เมืองไทยไม่เหมือนบ้านเมืองฝรั่ง บ้านเขา พอเห็นคนก้าวเท้าจะข้ามถนน รถต้องรีบจอดทันทีให้คนข้าม
หลาน : ครับ เราเข้าไปในวัดแล้ว ทำไมวัดดูไม่ค่อยสะอาดครับ มีของทิ้งทั่วไป
ปู่ : อ้อ พอดีตลาดนัดเพิ่งวาย ก็เลยดูสกปรกสักหน่อย ต้องรอเจ้าหน้าที่ตลาดมาทำความสะอาด ปู่จะเล่าเรื่องเกี่ยวกับวัดให้ฟังนะ เราเดินไปเล่าไปนะ
หลาน : ครับ เล่าเลยปู่
ปู่ : วัดเศวตฉัตร เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร หน้าวัดตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก หลังวัดอยู่ริมถนนเจริญนคร ก็คือถนนที่เราข้ามมานั้นแหละ
วัดเศวตฉัตร วรวิหาร เดิมชื่อวัดบางลำภูล่าง เป็นวัดเก่า ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้าง แต่มีพระอุโบสถเก่าเป็นหลักฐาน ด้านหน้าวัดมีเนื้อที่งอกออกไปริมแม่น้ำเจ้าพระยา จนตื้นเขินห่างจากวัดเดิมมาก “พระเจ้าอัยกาเธอ กรมหมื่นสุรินทรรักษ์” (พระนามเดิม พระองค์เจ้าฉัตร ต้นสกุล ฉัตรกุล เป็นพระราชโอรสที่ 29 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เป็นที่ 2 ในเจ้าจอมมารดาตานี) จึงได้ทรงยกวัดออกไปสร้างใหม่ ดังปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้ โดยโปรดให้รื้อพระตำหนักของพระองค์ไปสร้างเป็นกุฏิหลังใหม่ 5 ห้อง (คือกุฏิเจ้าอาวาสปัจจุบัน) สร้างพระอุโบสถ พระวิหาร ศาลาการเปรียญ และพระปรางค์ เป็นต้น ในระหว่าง พ.ศ. 2359 – 2373 ในปลายรัชกาลที่ 2 และต้นรัชกาลที่ 3 ต่อกัน ภายหลังถวายเป็นพระอารามหลวง ดังปรากฎในจดหมายเหตุรัชกาลที่ 3 ทรงปฏิสังขรณ์ และสร้างพระอาราม ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 พระราชทานนามว่า วัดเศวตฉัตร เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่ท่านผู้สร้างวัด
ปู่ : วัดเศวตฉัตรมีปูชนียวัตถุสำคัญตามลำดับ คือ
ปู่ : วัดเศวตฉัตรมีปูชนียวัตถุสำคัญตามลำดับ คือ
1. “พระพุทธสมาธิคุณสุนทรสมาทานบุราณสุคต ”(หลวงพ่อโบสถ์บน) ที่ปู่พาไปไหว้ท่านแล้ว

โดยเผอิญ ปู่และหลานเข้าไปไหว้พระไม่ได้ เพราะกำลังมีการทำบุญออกพรรษา การจะเข้าไปถ่ายรูปในงานดูไม่เหมาะสม ก็เลยพาหลานดูรอบนอกโบสถ์แทน
ปู่ : หลานรู้ความหมาย พระพุทธรูปปางนาคปรกหรือเปล่า?
หลาน (ทำฟอร์ม ตัวเองอยากรู้แต่ทำเป็นลูกเล่น): แหมถามได้ หลานจะไปรู้ได้อย่างไร ปู่อยากเล่าก็เล่าเถอะ
ปู่ : เดียวไม่เล่าให้ฟังเลย พูดมาก เอามะเหง็กไปกินก่อน นี่แนะ
หลาน : โอ้ย เด้วคืนนี้นอนฉี่ราดหรอก อิอิ
ปู่ : พระพุทธรูปปางนาคปรก หมายถึงพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ เสด็จไปยังต้นจิก ซึ่งตั้งอยู่ในทิศอาคเนย์(ทิศตะวันออกเฉียงใต้)แห่งพระมหาโพธิ ในสัปดาห์ที่ 3 ทรงนั่งเสวยวิมุติสุขอยู่ 7 วัน เวลานั้น ฝนตกพรำเจือด้วยลมหนาว พระยานาคชื่อ มุจจลินท์ เข้ามาวงด้วยขนด 7 รอบ และแผ่พังพานปกพระเศียรพระพุทธเจ้า เพื่อจะป้องกันฝนและลมมิให้ถูกพระวรกาย
ปู่ : พวกหลานรู้เปล่า พระประธานในพระอุโบสถใหม่และพระวิหารทั้ง ๒ องค์นี้ ผู้เชี่ยวชาญทางโบราณคดีแห่งกรมศิลปากรเล่าว่า มีลักษณะเป็นพระสุโขทัยแท้ แม้มีการลงรักปิดทองแล้ว ก็ยังมีลักษณะเป็นพระสุโขทัยปรากฎอยู่ เช่น พระหัตถ์ พระบาท วงพระหัตถ์ และพระรัศมี ซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะได้จากของหลวงที่เหลือจากสร้างวัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ) ซึ่งในรัชกาลที่ 1 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เชิญมาจากเมืองเหนือถึง 1200 องค์
4. พระพุทธไสยาสน์ พระนามว่า “พระพุทธบัณฑูรมูลประดิษฐสถิตไสยาสน์” ยาว 12.90 ม. พระครูวินัยสังวร (มูล) เจ้าอาวาสรูปแรกเป็นผู้สร้าง ในสมัยที่กรมหมื่นสุรินทรรักษ์ (พระองค์เจ้าฉัตร) ทรงย้ายเขตพุทธาวาสมาเป็นที่ตั้งปัจจุบัน
5. พระปรางค์ฐาน ๒ ชั้น ๘ เหลี่ยม ย่อไม้สิบสอง เส้นผ่านศูนย์กลาง ๑๓.๐๐ ม. สูงประมาณ ๒๐.๐๐ ม. ชั้นบนทำเป็นซุ้มจระนำ บรรจุพระพุทธรูป ๔ ด้าน สร้างขึ้นในสมัยสร้างวัดพร้อมพระอุโบสถและพระวิหารตามผังที่นิยมสร้างในสมัยต้นรัตนโกสินทร์
6. พระศรีอริยเมตไตรย หน้าตักกว้าง ๒ ศอก คุณโยมผู้ชายสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทวมหาเถร) สร้างถวายไว้
7. รูปหล่อเหมือนบูรพาจารย์ ๓ องค์ ได้แก่
1. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จรพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทวมหาเถร)
2. พระศาสนุเทศาจารย์ (บุญ ปริปุณฺณสีโล) อดีตเจ้าอาวาสฯ
(จาก website วัดเศวตฉัตร)
หลังจากนั้น ปู่ก็พาหลาน ๆ ไปดูสภาปัตยกรรมในวัด
ปู่ : หลานเอย ไป เราไปดูสถาปัตยกรรมของวัดนี้กัน
ก่อนอื่น ให้ปู่เล่าให้ฟังเกี่ยวกับพระอุโบสถนะ พระอุโบสถป็นอาคารก่ออิฐถือปูนลักษณะแบบศิลปะจีนพระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ 3 หลังคาลด 2 ชั้น มุงกระเบื้อง หน้าบันตอนบนประดับลายปูนปั้นรูปดอกไม้ ตอนล่างเป็นกระเบื้องเคลือบรูปสัตว์ต่าง ๆ ภูเขา ต้นไม้ และดอกไม้แบบจีน ซุ้มประตูหน้าต่างประดับลายปูนปั้นดอกไม้ประกอบแถบผ้า ติดกระจกสี บานประตูและหน้าต่างด้านนอกเขียนลายรดน้ำรูปฉัตร 5 ชั้น และรูปพุ่มข้าวบิณฑ์ ผนังภายในเขียนเป็นลายดอกไม้ร่วง
สำหรับพระวิหาร เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนลักษณะแบบศิลปะจีนเหมือนพระอุโบสถหน้าบันประดับลายปูนปั้น พระประธานในพระวิหารเป็นพระพุทธรูปหล่อปางมารวิชัย
หลาน : ปู่ครับสถาปัตยกรรมสวยงามดีครับ พวกเราได้ความรู้ด้วย แต่ปู่ครับ พวกผมเหนื่อยเมื่อยแล้วครับ เรากลับบ้านได้แล้วมั่งครับ
ปู่ : ได้ ได้ เรากลับกันนะ เดินกลับบ้านดีไหมนะ
หลาน : โอ้ย ไม่ไหวแล้ว กลับรถ taxi กันนะครับ
ปู่ : เฮ้ย ประหยัดหน่อยซิวะ เจ้าพวกนี้
หลาน (ทำหน้าบอกบุญไม่รับ): ก็ได้ กลับรถเมล์กัน ไปเถอะเหนื่อยมากแล้ว
ปู่ : ไป ไว้วันหลังจะพาไปเที่ยววัดจีนกันนะ
หลาน : ครับ รีบกลับเถอะ
ปู่ : ได้ ได้ เรากลับกันนะ เดินกลับบ้านดีไหมนะ
หลาน : โอ้ย ไม่ไหวแล้ว กลับรถ taxi กันนะครับ
ปู่ : เฮ้ย ประหยัดหน่อยซิวะ เจ้าพวกนี้
หลาน (ทำหน้าบอกบุญไม่รับ): ก็ได้ กลับรถเมล์กัน ไปเถอะเหนื่อยมากแล้ว
ปู่ : ไป ไว้วันหลังจะพาไปเที่ยววัดจีนกันนะ
หลาน : ครับ รีบกลับเถอะ



































No comments:
Post a Comment